จากการสอบถามนายจรูญ กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนเองมีบุตร 3 คน เป็นลูกชาย 2 คน ลูกสาว 1 คน ก่อนหน้านี้ได้ยกมรดกทรัพย์สินให้กับลูกทั้ง 3 คนไปหมดแล้ว และกำลังจะไปขออาศัยอยู่กับลูกชาย ที่ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ทางครอบครัวของลูกชายไม่ยอมรับหรือให้อยู่ด้วย ส่วนลูกสาวที่อยู่ จ.เชียงใหม่และอยู่ไกล ไม่สามารถรับตนเองไปอยู่ด้วยได้ ล่าสุดตนเองได้ไปอาศัยอยู่กับลูกชายอีกคนที่ จ.กำแพงเพชร แต่ถูกลูกชายทำร้ายร่างกาย จึงได้หนีออกมา
โดยขึ้นรถเมล์จาก จ.กำแพงเพชร มาลงที่แยกปลวกสูง จ.พิจิตร จากนั้นได้เดินเท้ามาเรื่อยๆ ตอนที่ขึ้นรถเมล์มานุ่งกางเกงเพียงตัวเดียว ไม่ได้สวมเสื้อ หลังจากเดินมาถึงพิษณุโลก มีพลเมืองดีให้เสื้อสวมใส่ พร้อมกับให้กินข้าว กินน้ำ และพักผ่อน 1 คืน จากนั้นเดินเท้าต่อกระทั่งถึงบ้านของนางเทาเรียน จึงเข้าไปสอบถามทางว่า จะไปสถานีรถไฟไปทางไหน นางเทาเรียน ได้ถามรายละเอียด จึงคิดจะช่วยเหลือพร้อมแจ้งผู้สื่อข่าวทราบ
จากการสังเกต พบว่าบริเวณใบหน้าของนายจรูญ มีร่องรอยเขียวช้ำ คล้ายถูกทำร้ายจริง จึงได้ประสานต่อไปยัง นายพีชพงษ์ พิทักษ์ หัวหน้าบ้านมิตรไมตรีจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งหลังจากสอบถามความเป็นมาแล้ว ได้โทรศัพท์สอบถามไปยังลูกชายของนายจรูญว่าเป็นอย่างไร ซึ่งภรรยาของลูกชายนายจรูญเป็นผู้รับโทรศัพท์ ก็ปฏิเสธว่า ตนเองไม่ได้ทำร้ายร่างกายบิดา แต่ว่าบิดาเป็นคนขี้น้อยใจ แล้วก็ไม่รู้ว่าบิดาหายออกจากบ้าน เพราะว่าบิดามักจะหายออกไปอย่างนี้อยู่เป็นประจำ ส่วนรอยเขียวช้ำที่ตัวนายจรูญนั้น ภรรยาของลูกชายนายจรูญ กล่าวว่า อาจจะมาจากถูกกลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้าย เพราะปกตินายจรูญ เป็นคนชอบดื่มสุรา อาจจะไปมีเรื่องกัน
เบื้องต้นหัวหน้าบ้านมิตรไมตรี กล่าวว่า จะดำเนินการรับนายจรูญไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านมิตรไมตรีก่อน จากนั้นจะนำลูกทั้ง 3 คน มาสอบถามหาข้อเท็จจริง ซึ่งหากมีการทำร้ายร่างกายจริง ไม่ว่าจะจากลูกชาย หรือ คนอื่นๆ ก็จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป